ประวัติความเป็นมา

บริษัท สุธากัญจน์ จำกัด (มหาชน) (“บริษัท”) จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2546 โดยมีทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 1 ล้านบาท และในปี 2548 กิจการเพิ่มทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้วเป็น 90 ล้านบาท และเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2557 กิจการได้เข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดทรัพย์แห่งประเทศไทย (“ตลท.”) โดยปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 375 ล้านบาทและทุนชำระแล้ว จำนวน 362.39 ล้านบาท

• เพิ่มทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้วเป็น 100 ล้านบาท และเพิ่มทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้วเป็น 150 ล้านบาทในปีเดียวกัน เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีกประมาณ 54,750 ตันต่อปี โดยลงทุนซื้อเครื่องจักร สร้างเตาเผาหินปูนเพิ่มจำนวน 1 เตา รวมทั้งอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง

• เพิ่มทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้วเป็น 175 ล้านบาท เพื่อใช้ในการขยายกิจการ ดังนี้
- ใช้ในการลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตอีกประมาณ 54,750 ตันต่อปี โดยก่อสร้างเตาเผาหินปูนและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องเพิ่มอีกจำนวน 1 เตา ซึ่งเริ่มดำเนินการผลิตได้ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2553
- ใช้ในการจัดซื้อที่ดินใกล้เคียงโรงงานเพิ่มเติม เพื่อใช้ในการจัดเก็บวัตถุดิบ
- ใช้ในการลงทุนพัฒนาระบบการเผาหินปูนใหม่เพื่อลดต้นทุนในการผลิต
• ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในเดือนธันวาคม 2550 สำหรับกิจการผลิตแคลเซียมออกไซด์
• บริษัทได้ผ่านการรับรองมาตรฐานสากลด้านการจัดการระบบคุณภาพ ISO 9001:2008 โดยบริษัทได้นำมาตรฐานดังกล่าวมาปรับใช้กับการดำเนินงานของบริษัท โดยพัฒนากระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยตระหนักถึงการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าเป็นสำคัญ

• เพิ่มทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้วเป็น 190 ล้านบาท โดยใช้ในการซื้อที่ดิน เพื่อขยายส่วนโรงงานที่ ต. ช่องสาริกา จ.ลพบุรี ประมาณ 50 ไร่
• บริษัทได้รับรางวัลสถานประกอบการประเภทโรงโม่บดหรือย่อยหินที่มีการจัดการสิ่งแวดล้อมดีเยี่ยมตามโครงการ “โรงโม่ เหมืองหิน ติดดาว” ประจำปี 2551 จากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

• บริษัทได้รับรางวัลสถานประกอบการประเภทโรงโม่บดหรือย่อยหินที่มีการจัดการสิ่งแวดล้อมดีเยี่ยมตามโครงการ “โรงโม่ เหมืองหิน ติดดาว” ประจำปี 2552

• ดำเนินการลงทุนเตรียมการก่อสร้างเตาเผาปูนและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องเพิ่ม เพื่อขยายกำลังการผลิตอีกจำนวน 2 เตา ซึ่งสามารถเริ่มดำเนินการผลิตได้ในเดือนธันวาคม 2554 และกุมภาพันธ์ 2555 ตามลำดับ
• ปรับปรุงพื้นที่ภายในโดยรอบโรงงานโดยการเทคอนกรีต เพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมและการขนส่งภายในโรงงาน
• บริษัทได้รับรางวัลสถานประกอบการประเภทโรงโม่บดหรือย่อยหินที่มีการจัดการสิ่งแวดล้อมดีเยี่ยม “โรงโม่ เหมืองหิน ติดดาว” ประจำปี 2553 โดยได้รับรางวัลเป็นระยะเวลา 3 ปีซ้อน

• เพิ่มทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้วเป็น 225 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายกำลังการผลิตและปรับโครงสร้างเงินทุนสำหรับเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
• ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในเดือนเมษายน 2554 สำหรับกิจการผลิตแคลเซียมออกไซด์และแคลเซียมไฮดรอกไซด์
• บริษัทได้ผ่านการรับรองมาตรฐานสากลด้านสิ่งแวดล้อม ISO 14001:2004 โดยการปรับใช้มาตรฐานดังกล่าว ทำให้บริษัทสามารถบริหารงานด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างเป็นระบบ เกิดสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี รวมทั้งเกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กร
• บริษัทได้ผ่านการรับรองมาตรฐานสากลด้านระบบจัดการด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย OHSAS 18001:2007 ซึ่งมาตรฐานนี้เป็นการเน้นในเรื่องของการดูแลสุขภาพอนามัยของผู้ปฏิบัติงาน และการดูแลด้านความปลอดภัย

• ก่อสร้างโรงบดแคลเซียมออกไซด์ และติดตั้งเครื่องบดเพิ่มเติม

• แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด และเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท สุธากัญจน์ จำกัด (มหาชน) หรือ Golden Lime Public Company Limited
• บริษัทได้ผ่านการรับรองมาตรฐานอุตสหกรรมสีเขียว (Green Industry) จาก กระทรวงอุตสาหกรรม ระดับที่ 3 ระบบสีเขียว (Green System)

• วันที่ 26-28 มีนาคม 2557 บริษัทฯ ได้เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในส่วนที่เสนอขายแก่ประชาชนทั่วไป จำนวน 75 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 3.7 บาท คิดเป็นเงินจานวน 277.5 ล้านบาท
• 31 มีนาคม 2557 บริษัทฯ ได้รับชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนทั้งจำนวนและได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงทุน ชำระแล้วกับกระทรวงพาณิชย์ โดยบริษัทฯ มีทุนชำระแล้วทั้งสิ้น 300 ล้านบาท
• 2 เมษายน 2557 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้รับหลักทรัพย์ของบริษัทฯ เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET) ใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ว่า “SUTHA” โดยเริ่มทำการซื้อขายหลักทรัพย์เป็นวันแรก (First day trade) ในวันที่ 3 เมษายน 2557
• เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2557 บริษัทฯ ได้ยื่นคำขอรับการส่งเสริมการลงทุน จากสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (BOI) โดยบริษัทฯ มีแผนการลงทุนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าแคลเซียมออกไซด์ซึ่งยื่นคำขอรับการส่งเสริมที่กำลังการผลิต 120,000 ตัน โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนจานวน 250 ล้านบาท มีสถานที่ตั้งโครงการ ได้แก่ สาขาแห่งที่ 3 ตำบลห้วยป่าหวาย อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ดำเนินการก่อสร้างเตาเผาปูนขาว ขนาด 150 ตัน/วัน จำนวน 2 เตาซึ่งคาด ว่าจะแล้วเสร็จในปี 2560 โดยบริษัทมีแผนดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จทีละเตา

• บริษัทฯ มีการส่งมอบเครื่องจักรและอุปกรณ์ตามโครงการจำหน่ายเครื่องจักรและอุปกรณ์นับเป็นโครงการเริ่มแรก โดยหลังจากการส่งมอบแล้วลูกค้าจะเป็นผู้ดำเนินการติดตั้ง เมื่อลูกค้าทาการติดตั้งแล้วเสร็จจะเริ่มทาการทดสอบ (Commissioning) เพื่อเดินกระบวนการผลิต โดยบริษัทฯ จะเป็นที่ปรึกษาในการทดสอบเดินกระบวนการผลิตจนกว่า จะแล้วเสร็จ
• บริษัทฯ มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ซึ่งผลิตจากแร่แบไรท์ ซึ่งมีชื่อเรียกทางเคมีว่า แบเรียมซัลเฟต (BaSO4) โดยมีการทดลองและทดสอบกระบวนการผลิตเพื่อสามารถผลิตสินค้าจัดจำหน่ายซึ่งเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัทฯ โดยเริ่มมีการจัดจำหน่ายให้กับลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมการขุดเจาะน้ามันนับเป็นปีแรก
• บริษัทฯ ได้รับผลการประเมินการจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2558 นับเป็นปีแรกตามโครงการ ประเมินคุณภาพการประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี 2558 (Annual General Meeting : AGM) ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับ หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร่วมกับสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทยและสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทยเป็นผู้จัด ซึ่งเป็นปีแรกที่บริษัทฯ ได้รับการสารวจ โดยผลการประเมินคุณภาพการจัดการประชุมผู้ถือหุ้นสามัญ ประจำปี 2558 มี ผลประเมินอยู่ในระดับ “ดีเยี่ยม”
• บริษัทฯ ได้รับผลประเมินการดำเนินการเพื่อความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนไทย ตามแผนพัฒนาความยั่งยืนสาหรับบริษัทจดทะเบียน ซึ่งประเมินโดยสถาบันไทยพัฒน์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งมีการสารวจเป็นปีที่สองนับจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยบริษัทมีระดับการ พัฒนาการป้องกันการมีส่วนเกี่ยวข้องกับคอร์รัปชั่นในระดับที่ 3 “Established”
• บริษัทฯ ได้รับผลสารวจตามโครงการสารวจการกากับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนซึ่งนับเป็นปีแรกที่บริษัทฯ ที่ได้รับการสารวจหลังการจดทะเบียนเป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2557 และในปี 2558 บริษัทฯ ได้รับผลประเมินโดยภาพรวมในระดับดี ซึ่งประเมินผลโดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD)
• บริษัทฯ ได้รับการประกาศเกียรติเข้าร่วมและให้การสนับสนุนการดำเนินงานตามโครงการผลิตแรงงานตาม ความต้องการสถานประกอบกิจการปี 2558 ในเขตพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี อ่างทอง สระบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี และ พระนครศรีอยุธยา จากมหาวิทยาลัยศรีนคริทรวิโรฒ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน
• บริษัทฯ ได้รับประกาศเกียรติคุณสถานประกอบการที่มีความมุ่งมั่นดำเนินโครงการสถานประกอบการปลอดภัยเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
• บริษัทฯ ได้รับการประกาศเกียรติคุณตามโครงการเพิ่มผลิตภาพแรงงานความต้องการสถานประกอบกิจ ปี 2558 จากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สังกัดกระทรวงแรงงาน

• การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่และโครงสร้างการบริหารจากครอบครัวนายเกียรติกุล มนต์เสรีนุสรณ์ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งโดยกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่เป็นกลุ่มบริษัทฯในเครือ Carmeuse ซึ่งเป็นผู้ผลิตปูนขาวชั้นนำของโลก ร่วมกับกลุ่มบริษัทในเครือ GP Group
• ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนสำหรับผลิตภัณฑ์แคลเซียมไฮดรอกไซด์ ตามบัตรส่งเสริมเลขที่ 59-0430-100-1-0 กำลังการผลิต 116,800 ตัน
• ได้รับใบอนุญาตในการแสดงเครื่องหมายมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมประเภทปูนไลม์อุตสาหกรรม ใบอนุญาตที่ 1240-7/319 ลงวันที่ 4 กรกฎาคม 2559 ภายใต้เครื่องหมายการค้าตราแรด และตราภูเขา
• ได้รับการรับรองในการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าและบริการสำหรับเครื่องหมายการค้า ตามทะเบียนเลขที่161104081 ลงวันที่ 13 กันยายน 2559
• เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2559 มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยบริษัท ซีอี ไลม์ (ประเทศไทย) จำกัด เข้าถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 45 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของกิจการ , การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างคณะกรรมการบริษัท และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้บริหาร
• ระหว่างวันที่ 10 ตุลาคม – 15 พฤศจิกายน 2559 บริษัท ซีอีไลม์ (ประเทศไทย) ได้ยื่นคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการ โดยรายงานผลการเสนอซื้อ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2559 ซึ่งมีจำนวนหุ้นที่รับซื้อในช่วงเวลาทำคำเสนอซื้อรวม 7.13 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของกิจการ โดยบริษัท ซีอีไลม์ (ประเทศไทย) มีสัดส่วนการถือหุ้นหลังจากการทำคำเสนอซื้อ คิดเป็นร้อยละ 52.13 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของกิจการ
• ได้รับการรับรองฮาลาล สำหรับผลิตภัณฑ์ปูนขาวและแคลเซียมคาร์บอเนต สำหรับผลิตภัณฑ์ตามเครื่องหมายการค้าตราแรด (RHINOCEROS) ตามหนังสือเลขที่ ฮล.ลบ.70/2559 ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2559
• โครงการซึ่งบริษัทฯ มีการจำหน่ายเครื่องจักรและอุปกรณ์เป็นโครงการแรก ในประเทศอินโดนีเซียเริ่มเดินการผลิตเป็นครั้งแรกในเดือน พฤศจิกายน 2559

• จัดตั้งบริษัท โกลเด้น ไลม์ เอ็นจิเนียริ่ง จากัด บริษัทย่อย ซึ่งบริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 99.99 โดยจดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2560 เพื่อประกอบธุรกิจด้านวิศวกรรม และการออกแบบรวมถึงผลิตและจาหน่ายเครื่องจักรอุปกรณ์ อะไหล่เครื่องจักรรวมถึงบริการให้คาปรึกษาและติดตั้งเตาเผาปูนขาวประเภท EOD Lime Kiln.
• ได้รับการรับรองในการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าและบริการสาหรับเครื่องหมายการค้า ตรา ประเภทเครื่องจักรเตาเผาปูนขาวที่ใช้ในอุตสาหกรรมเคมีทั่วไป โดยออกให้กับ บริษัท โกลเด้น ไลม์ เอ็นจิเนียริ่ง จากัด บริษัทย่อย ตามทะเบียนเลขที่ 171102641 ลงวันที่ 2 ตุลาคม 2560
• ได้รับการรับรองในการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าและบริการสาหรับเครื่องหมายการค้า ตรา ประเภทงานออกแบบและพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อควบคุมเตาเผาปูนขาวเพื่อใช้กับ อุตสาหกรรมเคมีทั่วไป โดยออกให้กับ บริษัท โกลเด้น ไลม์ เอ็นจิเนียริ่ง จากัด บริษัทย่อย ตามทะเบียนเลขที่ บ71433 ลงวันที่ 26 กรกฎาคม 2560
• คณะกรรมการบริษัทแต่งตั้ง นายกีซา เอมิล เพอราคี ดารงตาแหน่งกรรมการผู้จัดการ
• ย้ายที่ตั้งสานักงานใหญ่ไปที่ทาการแห่งใหม่ เลขที่ 89 อาคารคอสโม ออฟฟิต พาร์ค ชั้น 6 ยูนิตเอช ถนนป๊อบปูล่า ตาบลบ้านใหม่ อาเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 11120 ซึ่งมีผลตามระบบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ในวันที่ 1 ธันวาคม 2560

• เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2561 บริษัทได้เข้าทำรายการการได้มาซื่งสินทรัพย์สำคัญในหุ้นของบริษัท สระบุรีปูนขาว จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายปูนขาวในประเทศ โดยมีหุ้นสามัญซึ่งได้ชำระเต็มมูลค่าแล้วจำนวน 48,500 หุ้น ได้ชำระค่าตอบแทนให้แก่ผู้ขายซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเดิมซึ่งมิได้เป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันกับบริษัทจำนวนทั้งสิ้น 320 ล้านบาท
• เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2561 กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้อนุมัติใบอนุญาติประกอบกิจการโรงงานสาขาห้วยป่าหวายให้มีผลเริ่มประกอบกิจการโรงงาน ได้เสร็จสิ้นการทดสอบและเดินการผลิตเตาที่ 7
• วันที่ 15 พฤษภาคม 2561 คณะกรรมการได้อนุมัติการการรวมผังองค์กรระหว่างบริษัท สุธากัญจน์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย ได้แก่ บริษัท สระบุรีปูนขาว จำกัด โดยแต่งตั้งผู้บริหารเพื่อบริหารงานตามแผนการควบรวมกิจการ
• เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2561 บริษัทได้รับการรับรองความสามารถทางนวัตกรรมและองค์กรนวัตกรรม (Innovation Organization) จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามโครงการส่งเสริมความสามารถทางนวัตกรรมกรรมสำหรับผู้ประกอบการในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

• วันที่ 14 พฤษภาคม 2562 ที่ประชุมคณะกรรมการ ครั้งที่ 3/2562 ได้มีมติอนุมัติให้บริษัทเข้าลงนามบันทึกข้อตกลง สำหรับผู้รับเหมาซึ่งเป็นผู้ส่งข้อเสนอเชิงพาณิชย์ที่ดีที่สุดสำหรับโครงการ Solar Farm ขนาด 2 MW โดยมีที่ตั้ง โครงการสำหรับผลิต Solar Farm ณ ที่ทำการสาขาแห่งที่ 2 ที่ตำบลช่องสาริกาเพื่อทำการผลิตกระแสไฟฟ้าสำหรับ ใช้ในกระบวนการผลิต โดยโครงการดังกล่าวได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนจากส านักงานส่งเสริมการลงทุน ตามหนังสือแจ้งมติที่ นร. 1305/004859ลงวันที่ 25 กรกฎาคม 2562 โดยมีบัตรส่งเสริมการลงทุนที่ได้รับอนุมัติ เลขที่ 62-1008-1-04-1-0 ลงวันที่ 12 กันยายน 2562 และได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน จากกรม โรงงานอุตสาสหกรรม โดยอนุญาตให้ประกอบกิจการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ตั้งอยู่โฉนดที่ดิน เลขที่ 1285 หมู่ที่ 12 ต าบลช่องสาริกา อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี หนังสือแจ้งรับใบอนุญาตลงวันที่ 30มกราคม 2563
• วันที่ 14 พฤษภาคม 2562 ที่ประชุมคณะกรรมการ ครั้งที่ 3/2562 มีมติให้เสนอที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น โดยที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2562 ได้มีมติอนุมัติแผนปรับโครงสร้างธุรกิจด้วยวิธีการโอน กิจการทั้งหมดของบริษัท สระบุรีปูนขาว จ ากัด ไปยังบริษัท ทั้งนี้บริษัท เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท สระบุรีปูนขาว จ ากัด โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 99.99 ของหุ้นทั้งหมด โดยบริษัทได้แต่งตั้งให้ปรึกษากฎหมายและภาษีจากบริษัท สำนักภาษี เคพีเอ็มจี ภูมิไชย จำกัด เป็นที่ปรึกษาเพื่อด าเนินการส าหรับเรื่องดังกล่าวจนขั้นตอนแล้วเสร็จ
• วันที่ 1 ตุลาคม 2562 บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มสาขาที่4ซึ่งเป็นที่อยู่เดียวกับบริษัท สระบุรีปูนขาว จำกัด เพื่อรองรับ การโอนกิจการทั้งหมด
• 1 ธันวาคม 2562 บริษัท สระบุรีปูนขาว จำกัด ได้โอนกิจการทั้งหมดไปยังบริษัท และมีการโอนใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน รวมถึงใบอนุญาตในการดำเนินการทั้งหมดและกรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง สินทรัพย์อื่นๆได้แก่ เงินสด เงินฝากธนาคาร, ลูกหนี้การค้า และสินทรัพย์หมุนเวียนอื่น ๆ ทั้งหมดตลอดจนภาระหนี้สิ้นที่มีกับเจ้าหนี้การค้าและเจ้าหนี้สถาบันการเงิน ให้กับ บริษัท ซึ่งเป็นผู้รับโอนกิจการ
• วันที่ 17 ธันวาคม 2562 บริษัท สระบุรีปูนขาว จำกัด ภายหลังการโอนกิจการได้ดำเนินการจดทะเบียนเลิกกิจการกับ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าและอยู่ในระหว่างช าระบัญชีและจะดำเนินการช าระคืนทุนให้กับบริษัทซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นภายหลังเมื่อการตรวจสอบการโอนกิจการทั้งหมดและการเลิกกิจการกับกรมสรรพากรสิ้นสุดลง

• เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2563 บริษัทได้รับหนังสือมติอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุน เพื่อขยายกิจการแคลเซียมออกไซด์เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเพื่อใช้พลังงานทดแทน โดยการติดตั้งแผง พลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 1.0 MW เพื่อผลิตไฟฟ้าไว้ใช้ในกระบวนการผลิตที่สาขาพระพุทธบาท
• เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2563 บริษัทได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนตามบัตรส่งเสริมที่ 62-1008-1-04-1-0 ลงวันที่ 12 กันยายน 2562 เพิ่มการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์จากเดิม 2 MW เป็นสามารถผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 2.5 MW เพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้าเพื่อการผลิตสาขาช่องสาริกา
• เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2563 บริษัทได้เข้าทำรายการการได้มาซึ่งสินทรัพย์สำคัญในหุ้นของบริษัท หินอ่อน จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายหินอ่อนและผลพลอยได้จากผลิตภัณฑ์หินอ่อน โดยมีประทานบัตรเหมืองหินอ่อน และเหมืองหินปูนและมีกิจการให้เช่าช่วงเหมืองหินปูน โดยรายการดังกล่าวมีหุ้นสามัญซึ่งได้ชำระเต็มมูลค่าแล้ว จำนวน 3,305,126 หุ้น ได้ชำระค่าตอบแทนให้แก่ผู้ขาย คือกระทรวงการคลัง และบริษัท ทุนลดาวัลย์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเดิมและมิได้เป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันกับบริษัทจำนวนทั้งสิ้น 605 ล้านบาท
• บริษัทได้ยุติกระบวนการผลิตที่ โรงงานสาขาที่ 1 ตั้งอยู่ที่ตำบลหน้าพระลาน โดยได้รับอนุญาตให้ยุติการประกอบ กิจการตามใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานที่ 10190200225354 ชั่วคราว เริ่มตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม 2563 โดยมี การย้ายเครื่องจักรไปติดตั้งยังสาขาการผลิตอื่นๆ โดยเป็นการจัดเครือข่ายการผลิตตามหลักเหตุผล (Network Rationalization) เพื่อลดภาระรายจ่ายในการบริหารจัดการ, ค่าขนส่งวัตถุดิบ และอื่น ๆ ในระยะยาว โดยการยุติ กระบวนการผลิตดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อกำลังการผลิตตามความต้องการของลูกค้า
• วันที่ 19 มิถุนายน 2563 ได้รับแจ้งการอนุมัติในการออกประกอบกิจการโรงงานเพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงาน แสงอาทิตย์ ขนาดกำลังการผลิต 1,999.80 กิโลวัตต์ ตั้งอยู่ที่ดินโฉนดเลขที่ 1285 ตามใบอนุญาต ร.ง.4 ทะเบียน โรงงาน 40160036125635 ที่ (กกพ.) 02-8/2563 ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 จากกระทรวงอุตสาหกรรม
• รับอนุญาติประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าจากคณะกรรมการกิจการพลังงาน เลขที่ กกพ.01-1(1)/63-946 ลงวันที่ 26 มิถุนายน 2563
• รับอนุญาตให้ผลิตพลังงานควบคุม จากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ที่ กกพ.(พค.2)-262/2563 ลงวันที่ 17 มิถุนายน 2563,
• รับอนุญาตจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคตามหนังสือที่ มท 5304.12/50556 ลงวันที่ 21 สิงหาคม 2563 ให้ต่อขนาน เครื่องกำเนิดไฟฟ้ากับระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สำหรับระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์
• วันที่ 14 สิงหาคม 2563 บริษัทได้เข้าทำรายการเกี่ยวโยงมีขนาดการทำรายการขนาดกลาง โดยเป็นการจัดซื้อ เครื่องจักร อุปกรณ์ และลิขสิทธิ์ โดยเทคโนโลยีการผลิตในระบบ CAVA ถือเป็นการพัฒนาการผลิตที่สำคัญและเป็น ประโยชน์ต่อบริษัทเพื่อให้บริษัทสามารถผลิตปูนขาวเกรดพิเศษที่จะขายให้กับลูกค้ารายใหม่และช่วยเพิ่มปริมาณ การขายและส่วนแบ่งทางการตลาดให้กับบริษัท

• วันที่ 11 สิงหาคม 2564 ที่ประชุมคณะกรรมการ ครั้งที่ 4/2564 ได้มีมติอนุมัติให้บริษัทเข้าทำรายการเกี่ยวโยงโครงการโซ่ล่าฟาร์มที่ช่องสาริกาส่วนที่ขยายกำลังการผลิต 0.5 เมกะวัตต์ โดยเป็นโครงการลงทุนซึ่งบริษัทได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนตามบัตรส่งเสริมที่ 62-1008-1-04-1-0 ลงวันที่ 12 กันยายน 2562 เพิ่มการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์จากเดิม 2 MW เป็นสามารถผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 2.5 MW
• วันที่ 17 สิงหาคม 2564 บริษัทได้รับใบประกาศเกียรติคุณจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เพื่อแสดงว่าบริษัท มีการการนำแนวทางในการปฏิบัติด้านการใช้แรงงานที่ดี ( Good Labour Practice : GLP ) ไปใช้ในการบริหารกิจการ
• วันที่ 29 กันยายน 2564 สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ได้อนุมัติให้เพิ่มชนิดผลิตภัณฑ์โดยไม่มีการลงทุนเพิ่มสำหรับบัตรส่งเสริมการลงทุนเลขที่ 64-0133-1-04-1-0 ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 โดยให้การส่งเสริมผลิตภัณฑ์ที่ผลิตทั้งประเภทแคลเซียมออกไซด์ (Calcium Oxide) และแคลเซียมแมกนีเซียมออกไซด์ (Calcium Magnesium Oxide) รวมกำลังการผลิตทั้ง 2 ประเภทผลิตภัณฑ์ จำนวน 151,500 ตัน ทั้งนี้ให้เริ่มใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับบัตรส่งเสริมดังกล่าวสำหรับผลิตภัณฑ์แคลเซียมออกไซด์และแคลเซียมแมกนีเซียมออกไซด์ ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2564

• วันที่ 13 ธันวาคม 2565 บริษัท สุธากัญจน์จ จำกัด (มหาชน) หรือ SUTHA เข้ารับรางวัลคู่ค้า ประเภท “การดำเนินการโดยมีธรรมาภิบาล สังคม และสิ่งแวดล้อม ดีเลิศ ประจำปี 2565 จากกลุ่มลูกค้ากลุ่ม POSCO THINOX

• วันที่ 21 พฤศจิกายน 2565 บริษัท สุธากัญจน์ จำกัด (มหาชน) หรือ SUTHA เข้ารับรางวัล “องค์กรต้นแบบความยั่งยืนในตลาดทุนไทยด้านสนับสนุนคนพิการดีเด่น” ประจำปี 2565 จัดขึ้น ณ ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรมไฮแอท เอราวัณ จังหวัดกรุงเทพมหานคร โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) ร่วมกับกระทรวงแรงงาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กรมการจัดหางาน กรมส่งเสริมและพัฒนาชีวิตคนพิการ สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย และสมาคมสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย
• เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 บริษัท สุธากัญจน์ จำกัด (มหาชน) หรือ SUTHA เข้ารับโล่รางวัล “โครงการธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม” ประจำปี 2565 โดยเป็นโครงการซึ่งจัดโดยสำนักงานอุตสาหกรรมประจำจังหวัดลพบุรีฯ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างแรงจูงใจให้สถานประกอบการพัฒนาระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมให้เกิดประสิทธิภาพ และเฝ้าระวังการเกิดผลกระทบด้านมลพิษของสถานประกอบการที่มีต่อชุมชน หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ และส่งเสริมการพัฒนาด้านวิชาการหลักธรรมาภิบาลสิ่งแวดล้อม รักษาสมาชิกเครือข่ายอุตสาหกรรมในพื้นที่
• วันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 ที่ประชุมคณะกรรมการ ครั้งที่ 5/2565 ได้มีมติอนุมัติให้กำหนดวันจัดการประชุมใหญ่วิสามัญผู้ถือหุ้น (EGM 1/2023) ในวันที่ 6 มกราคม 2566 โดยวันที่ 28 ธันวาคม 2565 ได้กำหนดอัตราส่วนการเสนอขายสุดท้าย และจำนวนหุ้นที่จะเสนอขาย สำหรับหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนจำนวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นแต่ละรายถืออยู่ (Rights Offering) เพื่อเสนอที่ประชุมใหญ่วิสามัญผู้ถือหุ้นอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท รวมทั้งการแก้ไขเพิ่มเติม หนังสือบริคณห์สนธิของบริษัท ข้อ 4. (เรื่องทุนจดทะเบียน) เพื่อให้สอดคล้องกับการเพิ่มทุนจดทะเบียน จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 300,000,000 บาท โดยประกาศข้อมูลสุดท้ายในการเพิ่มทุน ทุนจดทะเบียนใหม่เป็นจำนวน 375,000,000 โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 75,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท รวมทุนจดทะเบียนที่เพิ่มขึ้นทั้งสิ้น 75,000,000 บาท
• วันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 ที่ประชุมคณะกรรมการ ครั้งที่ 5/2565 ได้มีมติอนุมัติให้บริษัทเข้าทำรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ประเภท การลงทุนในการขยายกำลังการผลิตระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 1 เมกกะวัตต์ และการจัดซื้อที่ดินขนาด 5 ไร่ จำนวน 1 แปลง โดยการเข้าทำรายการได้มาซึ่งสินทรัยพ์ดังกล่าว ประกอบด้วย การเข้าทำรายการได้มาซึ่งทรัพย์สิน มีการเข้าทำรายการเกี่ยวโยงสำหรับสัญญาบริการด้านงานวิศวกรรม จัดหา และก่อสร้าง ของโครงการโซล่าฟาร์ม ส่วนที่มีการขยายเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีก 1 เมกะวัตต์ที่สาขาช่องสาริกา (เฟส 3) ซึ่งมีรายการขนาดกลางซึ่งได้จัดทำสารสนเทศการทำรายการเกี่ยวโยงรายงานต่อตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2565
• วันที่ 18 สิงหาคม 2565 การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกลุ่ม โดยบริษัท สระบุรีปูนขาว จำกัด บริษัท ย่อยมีการชำระบัญชีแล้วเสร็จ โดยจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจกระทรวงพาณิชย์ในดำเนินการชำระบัญชีแล้วเสร็จ และปิดกิจการบริษัทย่อย บริษัท สระบุรีปูนขาว จำกัด โดยชำระคืนทุนแล้วเสร็จ (สำหรับที่ดินและโรงงานซึ่งเป็นทรัพย์สินหลักในบริษัท สระบุรีปูนขาว จำกัด ดังกล่าว มีการโอนกิจการไปเป็นสาขา 4 สาขาพระพุทธบาทตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2562 และประกอบการภายใต้การบริหารจัดการของบริษัท สุธากัญจน์ จำกัด (มหาชน))

• เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2566 บริษัทได้รับใบรับรองการขึ้นทะเบียนและได้รับการรับรองโครงการลดก๊าซเรือนกระจกโดยสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทยแบบมาตรฐาน (Standard T-VER) 1,543 tCO2eq/year ระยะเวลาเครดิตของโครงการ 1 มกราคม 2566 - 31 ธันวาคม 2572 (โดยโครงการนี้ไม่สามารถใช้กับปริมาณการชดเชยของบริษัท เนื่องจากเป็นโครงการในส่วนที่บริษัทได้ลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนในขอบเขต 2 จากปริมาณการซื้อกระแสไฟฟ้าที่ลดลง สำหรับปริมาณคาร์บอนเครดิตที่ได้รับการรับรองนี้จะสามารถใช้ในการขายคาร์บอนเครดิตให้กับผู้ที่ต้องการซื้อเพื่อใช้ชดเชยในกระบวนการในอนาคต โดยต้องมีกระบวนการซึ่งต้องดำเนินการเกี่ยวกับการเปิดบัญชีสำหรับทำการซื้อขายรวมถึงการตรวจสอบเพื่อรับรองปริมาณคาร์บอนเครดิตตามโครงการที่ได้ขึ้นทะเบียนในแต่ละปีด้วย)
• เดือน พฤศจิกายน 2566 บริษัท สุธากัญจน์ จำกัด ได้รับผลจากการเข้าร่วมโครงการหุ้นยั่งยืน (THSI) ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อโครงการเป็น “SET ESG Rating” โดยได้รับการจัดลำดับการดำเนินการตามกรอบการพัฒนาความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนในลำดับ “A” ซึ่งสอดคล้องตามเป้าหมายการพัฒนาด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี และการประกอบธุรกิจตามแนวทางด้านความยั่งยืน
• พฤศจิกายน 2566 บริษัท สุธากัญจน์ จำกัด ได้รับผลคะแนนจากการประเมินการกำกับดูแลกิจการที่ดีตามโครงการสำรวจผลการกำกับดูแลกิจการ ในระดับ “ดีเลิศ” ติดต่อกันเป็นปีที่ 4 (2563-2566)
• 20 กันยายน 2566 รับโอนกรรมสิทธิ์ ที่ดินที่จัดซื้อ 5 ไร่ สำหรับโครงการผลิตโซล่าฟาร์ม ส่วนขยาย รวมกับที่ดินที่มีอยู่ของบริษัท 5 ไร่ รวมที่ดินเนื้อที่รวม 10 ไร่ เพื่อใช้เป็นที่ตั้ง โครงการในการติดตั้งระบบการผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์สำหรับโครงการโซล่าฟาร์ม ส่วนขยาย
• มีนาคม 2566 ได้รับผลการประเมินการจัดลำดับคู่ค้าที่ดี โดยมีการประเมินระดับ “ดีเลิศ” ติดต่อกันเป็นปีที่ 2
• เดือน มีนาคม 2566 ได้รับเกียรติบัตรจาก Ecovadis ผู้ให้บริการจัดอันดับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม (CSR) แบบองค์รวมครอบคลุมระบบบริหารจัดการในวงกว้างซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับด้านการเงิน และรวมไปถึงผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม แรงงานและสิทธิมนุษยชน จรรยาบรรณ และหลักปฏิบัติในการจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืน โดยการลำดับประเมินผลจากผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นในปี 2565 โดยได้รับผลการประเมินในลำดับ “SILVER”
• เดือน ธันวาคม 2566 ได้รับเกียรติบัตรจาก Ecovadis โดยการลำดับประเมินผลจากผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นในปี 2566 โดยได้รับผลการประเมินในลำดับ “GOLD”
• วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงทุนชำระแล้วต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ที่ได้รับชำระจากการออกและเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นสามัญเดิมของบริษัทฯ ตามสัดส่วนการถือหุ้น โดยไม่จัดสรรให้ผู้ถือหุ้นที่ทำให้บริษัทฯ มีหน้าที่ตามกฎหมายต่างประเทศ โดยการออกหุ้นสามัญที่ออกใหม่จำนวน 75,000,000 หุ้น ที่ราคา 4 บาทต่อหุ้น ในอัตราส่วนที่เสนอขาย 4 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หุ้นสามัญใหม่ โดยมีระยะเวลาจองซื้อและการชำระค่าจองซื้อหุ้นสามัญที่ออกใหม่ ตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 ถึง วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 (รวมทั้งสิ้น 5 วันทำการ) และเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการจองซื้อมี จำนวนหุ้นที่มีการจองซื้อและชำระค่าหุ้นทั้งสิ้น รวมทั้งสิ้น 62,393,057 หุ้น ส่งผลให้บริษัทฯ มีทุนชำระแล้ว เป็นเงิน 362,393,057 แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 362,393,057 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ 1 บาท
• วันที่ 6 มกราคม 2566 ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น อนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทจากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 300,000,000 บาท เป็น ทุนจดทะเบียนใหม่จำนวน 375,000,000 บาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 75,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท รวมทั้งสิ้น 75,000,000 บาท ได้ดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงทุนจดทะเบียนของบริษัท และแก้ไขหนังสือบริคณห์สนธิของบริษัทฯ ข้อ 4. ตามรายละเอียดข้างต้นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2566

การปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรที่สำคัญ

• การปรับเพิ่มหน่วยงานวิศวกรและโครงการ
จากการบริหารจัดการด้านงบประมาณรายจ่ายในส่วนบริษัทย่อยได้แก่ บริษัท โกล้เด้นไลม์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด_GLE ซึ่งปัจจุบันโครงสร้างงานส่วนใหญ่เป็นโครงการในส่วนของบริษัท และบริษัทย่อย เพื่อเป็นบริหารรายรับและรายจ่ายตามแผนจัดการความเสี่ยงและการบริหารจัดการงบประมาณให้ได้ประสิทธิภาพ ได้มีการปรับโครงสร้างสายงานของบริษัทโดยมีการเพิ่มหน่วยงานวิศวกรและโครงการ และย้ายบุคคลากรในตำแหน่งวิศวกรและบุคลากรที่เกี่ยวข้องจาก GLE เพื่อรับผิดชอบดูแลส่วนงานวิศวกรและโครงการของบริษัท โดยสายงานที่ตั้งขึ้นใหม่จะรายงานตรงต่อรองกรรมการผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติ โดยสายงานดังกล่าวจะรับผิดชอบงานด้านโครงการลงทุน งานด้านการปรับปรุงกระบวนการ และวิศวกรรมต่าง ๆ ของโครงการลงทุนที่สำคัญโดยมีผลตั้งแต่ 1 กันยายน 2567

• การปรับสายงานบังคับบัญชาในฝ่ายงานทรัพยากรบุคคล
เดิมสายงานทรัพยากรบุคคลมีสายบังคับบัญชาในการรายงานตรงต่อรองกรรมการผู้จัดการภายหลังการสรรหาบุคลากรรองรับแผนสืบทอดตำแหน่งที่สำคัญเพื่อดูแลการพัฒนาและแผนงานด้านทรัพยากรและจากการสรรหาบุคลากรใหม่ที่เข้าดำรงตำแหน่งผู้บริหารอาวุโสฝ่ายงานทรัพยากรบุคคล ได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างการรายงานตรงต่อกรรมการผู้จัดการ และผู้จัดการอาวุโสฝ่ายงานทรัพยากรบุคคลซึ่งจะเกษียรอายุในปี 2568 ให้รายงานตรงต่อผู้บริหารอาวุโสฝ่ายทรัพยากรบุคคล โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567

• การเปลี่ยนผู้รับผิดชอบสูงสุดสายงานบัญชีและการเงิน
เดิมผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายบัญชีและการเงิน เป็นผู้รับผิดชอบสูงสุดสายงานบัญชีและการเงินได้ปรับเปลี่ยนจากการรายงานตรงต่อกรรมการผู้จัดการโดยขึ้นตรงต่อผู้บริหารอาวุโส ฝ่ายบัญชีและการเงินซึ่งปรับเลื่อนจากผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์และควบคุมการเงิน มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 สำหรับแผนรองรับการปรับเปลี่ยนตามแผนการสืบทอดตำแหน่งงานที่สำคัญที่ได้มีการเตรียมความพร้อมจากแผนการเกษียรของบุคลากร

พัฒนาในลักษณะการประกอบธุรกิจ

ด้านเศรษฐกิจและธรรมาภิบาล

1. ความหลากหลายและความมั่นคง : มุ่งสร้างความหลากหลายและความมั่นคงทางวัตถุดิบ ผลักดันยอดขาย และสร้างกำไรจากการดำเนินงาน เพื่อยกระดับกำไรสุทธิ

• SUTHA และกลุ่มบริษัทสามารถดำเนินการบรรลุเป้าหมายของการมีแหล่งทรัพยากรที่มั่นคงสำหรับกระบวนการผลิต และได้รับอนุญาตทำการผลิตหินปูนจากประทานบัตรเหมืองหินปูนจากแหล่งเขาขาว จังหวัดสระบุรีสำหรับเป็นวัตถุดิบป้อนกระบวนการเตาเผาของ SUTHA ซึ่งประทานบัตรดังกล่าวออกให้กับ บริษัท หินอ่อน จำกัด (บริษัทย่อย) ซึ่งเป็นกิจการที่ SUTHA ได้มาจากเข้าลงทุนในการซื้อหุ้นสามัญจากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมในปี 2563 และสามารถต่ออายุประทานบัตรที่ครบกำหนดอายุในเดือน ตุลาคม 2566 เสร็จสิ้นโดยเริ่มอายุประทานบัตรอนุญาตการขยายระยะเวลาออกไปเริ่มจาก ตุลาคม 2566 ไปอีกเป็นระยะเวลา 20 ปี และถือฐานรากที่เสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจที่สำคัญเพื่อให้ SUTHA มีระยะยืนหยัดเพื่อที่จะก้าวต่อไปสู่สิ่งที่ท้าทาย เพื่อมองหาโอกาสในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่อขับเคลื่อนในการพัฒนาให้เกิดความยั่งยืนสู่กิจการและผู้มีส่วนได้เสีย

• การจัดหาแหล่งจัดซื้อจัดหาเชื้อเพลิง สำหรับกระบวนการผลิตจากผู้จำหน่ายที่มีความน่าเชื่อถือ โดยเป็นวัตถุดิบเชื้อเพลิงที่มีคุณสมบัติในการให้ความร้อนสูง และสามารถจัดซื้อจัดหาในปริมาณที่เพียงพอต่อแผนการจัดเก็บตามปริมาณสถานที่จัดเก็บสินค้าคงคลัง และเพียงพอต่อความต้องการใช้

• การผลักดันยอดขาย จากผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ได้พัฒนาสามารถบรรเทาผลกระทบเพื่อคงรักษาฐานรายรับ แต่ยังไม่สามารถผลักดันขยายผลจากแรงต้านทานจากภาวะการแข่งขันโดยรวม ผลกระทบจากภาวะการแข่งขันจากกลยุทธ์ราคา และการควบคุมความต่อเนื่องด้านคุณสมบัติผลิตภัณฑ์ตามกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความต้องการซึ่งยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงผลกระทบจากความต้องการผลิตภัณฑ์ในกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมเหล็กที่มีปริมาณลดลงจากภาวะการณ์แข่งขันจากผลิตภัณฑ์ทดแทนที่นำเข้าจากประเทศจีนยังคงต้องมีพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อเพื่อลดบรรเทาและฟื้นคืนฐานสำหรับการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สำหรับกลุ่มเหล็กให้กลับมาและขยายผลในการเติบโต

2. ความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม : มุ่งเป็นผู้นำด้านการผลิตและจำหน่ายปูนขาว แคลเซียมคาร์บอเนตผง และผลิตภัณฑ์จากหินอ่อน ด้วยการส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการอย่างมีความรับผิดชอบ

• แผนการลงทุนขยายกำลังการผลิตปูนขาว: จากภาวะความต้องการผลิตภัณฑ์ปูนขาวในปี 2567 ที่ปริมาณความต้องการสินค้าไม่สอดรับกับกำลังการผลิตโดยรวม ส่งผลให้โครงการลงทุนในการขยายกำลังการผลิตปูนขาวและแผนลงทุนก่อสร้างเตาเผาปูนขาวเตาที่ 8 หยุดดำเนินการโดยชลอการพิจารณาในการลงทุนยืดออกไปเพื่อประเมินสถานการณ์ภาพรวมของตลาด ปริมาณความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงจากภาวการณ์ที่คาดการณ์ไว้ ประกอบกับการพิจารณาทางเลือกอื่นจากเข้าซื้อกิจการหรือการเข้าซื้อสินทรัพย์เตาเผาปูนขาวจากผู้ผลิตรายอื่นที่เสนอขายและเป็นอีกหนึ่งทางเลือก ตามโครงการขยายกำลังการผลิตที่จะเป็นไปได้ โดยการศึกษาขอบเขตความเป็นไปได้เงินลงทุน การประเมินปัจจัยแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งภาพรวมโดยสรุปยังไม่สามารถดำเนินการได้ภายในปีนี้

• แผนการลงทุนขยายกำลังการผลิตแคลเซียมคาร์บอเนตผง: เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายในการความเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์แคลเซียมผง_GCC ซึ่งเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ของ บจ.หินอ่อนซึ่งเป็นบริษัทย่อย ในปี 2567 โครงการลงทุนขยายกำลังการผลิตแคลเซียมคาร์บอเนตผล (GCC Project) ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการบริหารและคณะกรรมการเพื่อการขยายกำลังการผลิตสำหรับผลิตภัณฑ์ GCC จากเดิมมีกำลังการผลิต 60,000 ตัน โดยมีการลงทุนในการติดตั้งเครื่องจักรและกระบวนการต่าง ๆ เพิ่มเพื่อขยายกำลังการผลิตรองรับปริมาณการผลิตสูงสุด 120,000 ตัน ซึ่งคาดว่าการดำเนินการจะสามารถแล้วเสร็จและให้ผลผลิตได้ภายในปี 2568 ซึ่งโครงการดังกล่าวจะควบคุมและติดตามการดำเนินการออกแบบ การจัดหาเครื่องจักร และควบคุมงบประมาณการลงทุน โดยมีมูลค่าการลงทุนรวมโดยประมาณ 48 ล้านบาท ซึ่งฝ่ายงานวิศวกรและโครงการ หรือส่วนวิศวกรรมของ GLE จะรับผิดชอบสำหรับการออกแบบวางแผนผังกระบวนการ การจัดหาผู้ผลิตเครื่องจักร และอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน รวมถึงกระบวนการติดตั้งเครื่องจักร โดยมีการสั่งซื้อเครื่องจักรหลักจากต่างประเทศ

แผนการลงทุนขยายกำลังการผลิตแคลเซียมคาร์บอเนตผง



3. นวัตกรรมและเทคโนโลยี: พัฒนากระบวนการและผลิตภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่

• การพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมอิฐมวลเบา การพัฒนาในการปรับแต่งเพื่อใช้เตาเผาปูนขาวประเภท Two Vertical Shaft Kiln 150TPD เพื่อใช้ในการผลิตปูนขาวสำหรับอุตสาหกรรมอิฐมวลเบา โดยโครงการ highly performance mill lime ถือเป็นโครงการหนึ่งในการปรับใช้เทคโนโลยีการผลิตที่บริษัทได้เข้าทำสัญญาในการจัดซื้อจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์จากกลุ่ม Carmeuse ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นทางอ้อม ผ่านการเข้าทำสัญญาในการรักษาความลับด้าน Knowhow และลิขสิทธิ์ โดยโครงการ highly performance mill lime ถือเป็นโครงการพัฒนากระบวนการผลิตที่สามารถปรับนำเทคโนโลยีมาใช้ปรับปรุงกระบวนการในการผลิตสินค้าให้มีคุณสมบัติสำหรับการใช้งานกับอุตสาหกรรมอิฐมวลเบา และเป็นการใช้เทคโนโลยีการผลิต และเป็นนวัตกรรม กระบวนผลิตครั้งแรกในประเทศไทย นวัตกรรมและวิศวกรรมการออกแบบ EOD Lime Kiln โดยเป็นการพัฒนาด้านวิศวกรรมการออกแบบระบบเผาปูนขาว Parallel Flow Regenerative (PFR) Technology EODTM กำลังการผลิตขนาด 150 TPD เพื่อเป้าหมายในการจัดการทรัพยากร และการจัดการพลังงานเพื่อให้สามารถบริหารจัดการทรัพยากร และพลังงานได้ประสิทธิภาพสูงสุด โดยพัฒนาศักยภาพและการต่อยอด Technology Parallel Flow Regenerative (PFR) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเครื่องจักรเตาเผาปูนขาวแนวตั้ง 2 ปล่อง ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวได้ออกแบบระบบการให้ความร้อนภายในกระบวนการเผาปูนขาว โดยแบ่งช่วงในการเผาไหม้ออกเป็น 3 ช่วง ได้แก่

(A) ช่วงโซนทำความร้อนปูนก่อนกระบวนการเผา (Preheating Zone)
(B) ช่วงโซนการเผาไหม้ (Burning Zone)
(C) ช่วงโซนการทำความเย็นเพื่อระบายร้อนของปูนขาวที่เผาสุกก่อนออกจากเตา (Cooling Zone)

โดยเทคโนโลยี PFR เป็นการใช้หลักการในการใช้หมุนเวียนนำความร้อนส่วนเกินที่เหลือได้จากก๊าซส่วนที่ไม่ได้ถูกนำไปใช้ในการเผาไหม้ (Waste Gas) จากปล่องที่กำลังเผาไหม้ หมุนวนกลับไปใช้ยังปล่องที่เตรียมการเผาใน Preheating Zone โดยนำพลังงานส่วนเกินและการใช้พลังงานความร้อนให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยการพัฒนาด้านวิศวกรรมการออกแบบดังกล่าวสอดคล้องตามเป้าหมายและกลยุทธ์ด้านการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาต่อยอดสร้างเป็นนวัตกรรมการผลิตภัณฑ์เพื่อสังคม ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ส่งเสริมต่อการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด และ EOD Lime จากสัญญา Purchase Agreement Kiln ตามโครงการ Kurnia 2 โดยบริษัท โกลเด้น ไลม์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (บริษัทย่อย) ได้จัดส่งเครื่องจักรและอุปกรณ์ตามสัญญาครบถ้วน และลูกค้าได้ทำการติดตั้งใกล้จะเสร็จสมบูรณ์ หลังจากมีการหยุดชลอโครงการนานกว่า 2 ปี ซึ่งผลความคืบหน้าในการตรวจสอบกระบวนการโครงการ Kurnia 2 ทำการติดตั้งเครื่องจักรและอุปกรณ์ โดยมีความคืบหน้า 90% และคงค้างส่วนงานที่รอกระบวนการ Commissioning อีก 10% ซึ่ง โครงการ Kurnia 2 เป็นการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเตาเผาปูนขาวของไทยและเป็นแบรนด์ EOD Lime Kiln ลำดับที่ 4 สำหรับกำหนดที่คาดว่าโครงการจะเสร็จสมบูรณ์สามาถเดินเครื่องจักรเพื่อการผลิตภายในไตรมาส 2 ปี 2568

ระบบเผาปูนขาว



4. ประสิทธิภาพและความพึงพอใจของลูกค้า: ส่งเสริมและพัฒนาประสิทธิภาพทั้งกระบวนการผลิตของบริษัทและของลูกค้า เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าด้วยการผลิตสินค้าที่ตรงต่อความต้องการของแต่ละอุตสาหกรรม และให้คำแนะนำการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมในราคาที่แข่งขันได้

ในปี 2567 มีการพัฒนาด้านกระบวนการผลิตสินค้าไฮเดรตเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยการลงทุนโครงการ Replace hydrated lime Classifier มูลค่า รวม 5.5 ล้านบาท เพื่อพัฒนากระบวนการในการผลิตสินค้าไฮเดรต ให้มีคุณสมบัติด้านขนาดและความละเอียดตามที่ลูกค้าต้องการ โดยพิจารณาความสำคัญและความจำเป็นในการลงทุนในการตอบสนองต่อเป้าหมายและกลยุทธ์การมุ่งเน้นลูกค้า สำหรับโครงการลงทุนในเครื่องจักรหลักตามโครงการจะมีการติดตั้งเครื่อง Classifier สำหรับปรับขนาดของปูนไฮเดรตให้มีความละเอียดมากขึ้น โครงการใช้ระยะเวลาดำเนินการ 120 วัน ดำเนินการโดยฝ่ายงานวิศวกรและโครงการ หรือส่วนวิศวกรรมของ GLE ซึ่งแล้วเสร็จภายในปี 2567

กระบวนการผลิตสินค้าไฮเดรต


โดยระหว่างปี 2567 มีการพัฒนากระบวนการในการผลิตปูนขาวสำหรับกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมอิฐมวลเบา โดยการลงทุนในการปรับแต่งกระบวนการผลิตสำหรับการผลิตปูนเกรดจัดส่งในอุตสาหกรรมอิฐมวลเบา โดยมีมูลค่าการลงทุนโดยประมาณ 5.5 ล้านบาท สำหรับโครงการลงทุนนี้ SUTHA ได้พัฒนาขึ้นเพื่อใช้ในการปรับปรุงคุณภาพปูนเกรด Mill Lime AAC ให้ได้คุณสมบัติตรงกับความต้องการของลูกค้ากลุ่มผลิตอิฐมวลเบา เพื่อให้สินค้าปูนขาวสำหรับใช้ในการผลิตในอุตสาหกรรมอิฐมวลเบาตอบสนองต่อความต้องการมากขึ้น โดยระยะเวลาดำเนินการตามโครงการ จำนวน 90 วัน โดยมีการติดตามควบคุมดำเนินการทั้งด้านการออกแบบ จัดหาเครื่องจักร และการติดตั้งเครื่องจักรโดยทีมวิศวกร และโครงการ หรือส่วนวิศวกรรมของ GLE

กระบวนการในการผลิตปูนขาวสำหรับกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมอิฐมวลเบา



5. การเติบโตอย่างยั่งยืน: รักษาการเติบโตทางธุรกิจให้มีความสามารถในการทำกำไรได้ในระยะยาว เพื่อสร้างผลตอบแทนต่อผู้มีส่วนได้เสีย

ในปี 2567 เป้าหมายการเติบและสร้างผลกำไรระยะยาวยังไม่เห็นผลแสดงแนวโน้มการเติบโตเชิงเศรษฐกิจ จากตัวชี้วัดด้านการเงินเนื่องด้วยการแข่งขันในธุรกิจที่มีค่อนข้างสูง รวมถึงสภาวะอันเกิดจากปัจจัยการเปลี่ยนแปลงความต้องการจากกลุ่มลูกค้าและการแข่งขันด้านราคาคงส่งผลให้การบรรลุสู่เป้าหมายการเพิ่มขึ้นของฐานรายรับยังไม่เป็นไปตามที่ได้คาดการณ์ อย่างไรก็ตามด้วยปัจจัยและผลกระทบต่าง ๆ รวมถึงการบริหารจัดการความเสี่ยงและการพัฒนาในด้านต่าง ๆ บริษัทยังคงความสามารถเพื่อการปรับตัวและบรรเทาผลกระทบ เผชิญความท้าทาย และคงความสามารถในการแข่งขัน การรักษาฐานทางการตลาด ฐานรายรับที่มั่นคง รวมถึงความสามารถในการทำกำไรที่มีแนวโน้มการปรับตัวดีขึ้น จากการบริหารจัดการต้นทุน และการจัดหาแหล่งเชื้อเพลิงและบริหารจัดการเชื้อเพลิงที่ได้ประสิทธิภาพ

ด้านการพัฒนากระบวนการและมาตรฐานดำเนินการตามกรอบความยั่งยืน จากเป้าหมายในการพัฒนาระบบและกระบวนการดำเนินธุรกิจเพื่อให้สอดรับการพัฒนาด้านความยั่งยืนโดยมีมาตรฐานและกระบวนการที่ได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับจากผู้มีส่วนได้เสียผ่านตัวชี้วัดในการเข้าร่วมประเมินผลและจัดลำดับด้านความยั่งยืน “ESG Rating” ซึ่งผลประเมินในปี 2567 ปรับระดับเป็น “AA” ซึ่งพัฒนาจากระดับ “A” ในปีก่อน

SET Logo ESG Rating

SET ESG Rating Certificate



6. การกำกับดูแลกิจการที่ดี: สร้างและบูรณาการการกำกับดูแลกิจการที่ดีในทุกบริษัทภายใต้การบริหารจัดการ โดยมีระบบและกระบวนการควบคุมภายในที่แข็งแกร่ง และการบริหารความเสี่ยงที่สามารถรับมือกับวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อมุ่งสู่การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

ด้วยผลประเมินผ่านโครงการ CGR Score ปี 2567 มีคะแนนและผลประเมินในระดับสูงสุดต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ผ่านตัวชี้วัด การประเมินผลด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี ภายใต้เจตนารมย์และความมุ่งมั่นเพื่อพัฒนาและการปรับปรุงทุกจุดดำเนินการโดยมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อบรรลุตามเจตนารมย์การกำกับดูแลกิจการที่ดี มีการบริหารจัดการอย่างโปร่งใสภายใต้การผู้นำ จริยาธรรมทางธุรกิจ และบรรษัทภิบาล

SET ESG Rating Certificate



ด้านสังคม

1. ความปลอดภัยและสุขภาพ: ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงความปลอดภัย อาชีวอนามัย สุขภาพ และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ทั้งในสถานประกอบการ ลูกค้า คู่ค้า ชุมชน และผู้มีส่วนได้เสีย
บริษัทสามารถบรรลุเป้าหมายในการลดอุบัติเหตุในส่วนการจัดการด้านความปลอดภัยสำหรับพนักงานให้เป็นศูนย์ แต่ในขณะเดียวกันเกิดอุบัติเหตุถึงขั้นหยุดงานในส่วนของผู้รับเหมาของบริษัท แต่อย่างไรก็ตามการดำเนินการในการปลูกพฤติกรรมในการตระหนักด้านความปลอดภัยให้กับพนักงานถือว่าในปี 2567 สามารถบรรลุเป้าหมาย

2. โอกาสการจ้างงานที่เท่าเทียม: ส่งเสริมโอกาสการจ้างงานที่เท่าเทียม การจ้างงานบุคลากรท้องถิ่น ความเสมอภาค และการดำเนินการภายใต้หลักสิทธิมนุษยชน

3. การศึกษาและพัฒนาทักษะ: ส่งเสริมโอกาสด้านการศึกษาและการพัฒนาทักษะ เพื่อยกระดับคุณภาพและศักยภาพของบุคลากรในการพัฒนาองค์กร

4. การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย: พัฒนาการมีส่วนร่วมและความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาองค์กร ธุรกิจ และสังคมอย่างยั่งยืนภายใต้แคมเปญ 4 พฤติกรรมหลักองค์กร ( 4 Behaviors ) ได้พัฒนาให้เกิดการเข้ามีส่วนในการขับเคลื่อนกิจกรรมต่าง ๆ ผ่านการสร้างสรรค์และระดมความคิดเห็นอย่างจริงใจ การมีส่วนร่วม ความรู้สึกในการความเป็นเจ้าขององค์กรร่วมกันเพื่อผันผ่าอุปสรรคและรับผิดชอบงานในหน้าที่โดยใช้ Passion และอาศัยความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญมุ่งเสริมให้เกิดคุณค่าภายใต้ขอบเขตความรับผิดชอบของตนเพื่อให้ธุรกิจขององค์กรสามารถส่งต่อคุณค่าเพื่อลูกค้า ผู้มีส่วนได้เสีย อย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม



ด้านสิ่งแวดล้อม

1. การจัดการสิ่งแวดล้อม: จัดการกระบวนการเพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงการดำเนินการในการกำหนดมาตรการเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผลกระทบและความเสี่ยงการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่อาจเกี่ยวข้อง การจัดการขยะของเสีย ลดปริมาณเศษซาก หรือวัสดุที่ต้องฝังกลบ และวัสุดที่ไม่ใช้แล้วจากกระบวนการให้เหลือน้อยที่สุด

2. การจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ: จัดการความหลากหลายทางชีวภาพและผลกระทบจากกระบวนการดำเนินธุรกิจที่มีต่อนิเวศบริการ ส่งเสริมการอนุรักษ์และฟื้นฟูธรรมชาติ

3. กิจกรรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม: ส่งเสริมและสนับสนุนกิจกรรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม การส่งเสริมด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน และการบริหารจัดการทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ในปี 2567 จากแรงผลักดันภายใต้การขับเคลื่อนในการกำกับดูแลกิจการเพื่อดำเนินการและพัฒนากระบวนการตามกรอบความยั่งยืน การจัดการและบริหารความเสี่ยงเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในอุปสงค์ และภาวะการแข่งขันในตลาด รวมถึงการผลักดันโครงการ Cost Saving เพื่อบริหารจัดการในการลดต้นทุนการผลิต รวมถึงการหากลุ่มลูกค้าทดแทน ปริมาณที่ต้องสูญเสียจากอุปสงค์ และผลกระทบจากของอุตสาหกรรมที่ลดลง อย่างไรก็ตาม การตอบรับสู่ผลสำเร็จในการร่วมบริหารจัดการห่วงโซ่ธุรกิจด้วยการส่งมอบคุณค่าสู่ผู้มีส่วนได้เสียที่สำคัญด้วยรางวัลแห่งความเชื่อมั่นเพื่อมุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนด้วยรางวัล “Sustainability Award“ ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการปรับแนวทางปฏิบัติทางธุรกิจให้สอดคล้องกับเป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันก็สร้างความไว้วางใจและความเชื่อมั่นในหมู่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของเรา

Sustainability Award